หมดโควิด เริ่มเข้าสู่สถานการณ์ปกติ เราต้องเตรียมตัวไปทำงานอย่างไรดี ให้ปลอดภัยจากโควิด
- SARUP Overseer
- May 1, 2021
- 1 min read
Updated: Apr 28
เมื่อเสียงของการล็อกดาวน์เริ่มเงียบลง และมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 เริ่มคลายตัวอย่างระมัดระวัง โลกการทำงานก็เริ่มเคลื่อนตัวกลับสู่สภาพแวดล้อมที่หลายคนเคยคุ้น ในปี 2021 ที่ทั่วโลกต่างพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ และการกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติไม่ได้หมายถึงการหวนกลับไปยังอดีตที่เคยเป็น หากแต่คือการปรับตัวสู่ความปกติใหม่ที่ต้องมีทั้งความพร้อมทางกายภาพและจิตใจ การกลับไปทำงานจึงกลายเป็นการเดินทางทั้งทางร่างกายและทางความรู้สึก ที่ผู้คนต้องเตรียมการอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในยุคที่การระบาดใหญ่กลายเป็นบทเรียนแห่งศตวรรษ

แม้เราจะผ่านจุดสูงสุดของการระบาดมาแล้ว แต่วิถีชีวิตหลังโควิดกลับไม่ได้เบาลงตามความเร็วของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลง ตรงกันข้าม ความตึงเครียดกลับเคลือบแฝงอยู่ในกิจวัตรประจำวันโดยที่หลายคนไม่ทันสังเกต ความรู้สึกกังวลเมื่อต้องเข้าสู่พื้นที่ปิด ความไม่แน่ใจว่าจะจับลิฟต์หรือเปิดประตูด้วยมือเปล่าดี หรือแม้แต่ความเครียดเมื่อเห็นคนรอบข้างไอโดยไม่ได้ใส่หน้ากาก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อาการทางกาย แต่คือร่องรอยที่โรคระบาดได้ฝังไว้ในจิตใจของผู้คนอย่างลึกซึ้ง
การเตรียมตัวกลับเข้าสู่สำนักงานในปี 2021 จึงไม่ใช่เพียงการเตรียมเสื้อผ้า หรือจัดตารางงานให้ลงตัวอีกครั้ง แต่คือการเตรียมสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างเป็นระบบ แนวทางด้านสุขภาพพื้นฐาน เช่น การสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่ปิด การล้างมือสม่ำเสมอ การรักษาระยะห่าง และการหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด ยังคงต้องถือปฏิบัติเป็นวินัยใหม่ แม้เราจะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า การติดเชื้อซ้ำยังเป็นไปได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ภูมิคุ้มกันลดลงตามเวลา หรือเผชิญกับสายพันธุ์ใหม่
สถานที่ทำงานจึงกลายเป็นสมรภูมิสำคัญในการออกแบบ “ความปลอดภัย” ที่ต้องไม่ละเลยรายละเอียด ตั้งแต่การตรวจวัดอุณหภูมิประจำวัน การฆ่าเชื้อบริเวณจุดสัมผัสร่วม เช่น มือจับประตู ปุ่มลิฟต์ และพื้นที่ครัว ไปจนถึงการจัดโต๊ะทำงานให้มีระยะห่างเพียงพอ นอกจากนั้น องค์กรยังควรส่งเสริมระบบทำงานแบบไฮบริด ที่เปิดโอกาสให้พนักงานบางส่วนยังสามารถทำงานจากที่บ้านได้บางวัน เพื่อแบ่งเบาความแออัด ลดความเสี่ยง และสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจให้แก่คนทำงาน
วิถีชีวิตหลังโควิด: เมื่อ “ปกติ” กลายเป็นสิ่งใหม่
หลังจากผ่านวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่กินเวลานานนับปี วิถีชีวิตประจำวันได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งรูปแบบการทำงาน การเดินทาง การปฏิสัมพันธ์ และความรู้สึกปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ การกลับไปทำงานในที่ทำงานจึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสถานที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “กรอบความคิด” และ “พฤติกรรม” ไปพร้อมกัน
องค์กรจำนวนมากปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำงานให้รองรับ “Hybrid Work” โดยมีทั้งพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านและที่ออฟฟิศร่วมกัน ทำให้เกิดคำถามใหม่เกี่ยวกับสุขภาวะที่ดี ทั้งในมิติทางกายภาพและจิตใจ การกลับไปทำงานจึงควรตั้งอยู่บนฐานของความเข้าใจในบริบทใหม่ และการเตรียมตัวอย่างรอบด้าน
สุขภาพร่างกาย: ความสะอาด กลายเป็นแนวหน้าของความปลอดภัย
สิ่งสำคัญอันดับแรกในการกลับไปทำงานคือ “การป้องกันตนเองจากการติดเชื้อซ้ำ” แม้จะได้รับวัคซีนแล้วก็ตาม มาตรการพื้นฐาน เช่น การล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล, การสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่ปิด, การเว้นระยะห่างทางสังคม และการเลี่ยงพื้นที่แออัด ยังคงต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
สถานที่ทำงานเองต้องมีระบบระบายอากาศที่ดี ตรวจวัดอุณหภูมิพนักงาน ตรวจสอบการทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมอย่างสม่ำเสมอ เช่น ปุ่มลิฟต์ มือจับประตู หรือเครื่องปริ๊นต์สำนักงาน นอกจากนี้ การจัดโต๊ะทำงานให้มีระยะห่าง และสนับสนุนให้พนักงานใช้วิธีสื่อสารแบบไร้สัมผัส เช่น ระบบแชทภายในองค์กร ก็เป็นแนวทางลดความเสี่ยงได้ดี
สุขภาพจิต: เมื่อใจยังไม่พร้อมกลับเข้าสู่สังคม
แม้ร่างกายจะฟื้นตัวจากภาวะล็อกดาวน์ แต่ “จิตใจ” ของหลายคนอาจยังไม่พร้อม การถูกแยกตัวจากสังคมเป็นเวลานานส่งผลให้เกิดภาวะ “ความวิตกกังวลหลังโรคระบาด” หรือ Post-Pandemic Anxiety Syndrome (PPAS) ซึ่งปรากฏชัดในกลุ่มพนักงานที่ต้องกลับเข้าออฟฟิศ
อาการที่พบบ่อย ได้แก่ รู้สึกไม่มั่นใจในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น กังวลเรื่องเชื้อโรค รู้สึกไม่อยากออกจากบ้าน หรือแม้แต่เกิดอาการ Burnout ได้ง่ายขึ้น การรับมือกับปัญหาเหล่านี้ไม่ควรมองข้าม องค์กรควรจัดให้มีพื้นที่ทางใจ เช่น “Wellness Room” หรือเปิดสายด่วนให้คำปรึกษาเชิงจิตวิทยา
พนักงานเองก็ควรฝึกสติ ทำสมาธิ หรือลองใช้วิธี Journaling (เขียนบันทึกความรู้สึกในแต่ละวัน) เพื่อสำรวจอารมณ์ของตนเอง พร้อมทั้งฝึกฝนทักษะ Emotional Resilience หรือความยืดหยุ่นทางอารมณ์เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต
กระนั้นก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือสุขภาพจิตใจ ซึ่งบอบช้ำไม่แพ้ร่างกายในช่วงที่โควิดระบาดอย่างรุนแรง การเว้นระยะห่างทางสังคม การกักตัว และการแยกจากโลกภายนอกเป็นเวลานาน ทำให้หลายคนประสบภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือแม้แต่สูญเสียแรงจูงใจในการกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นอีกครั้ง องค์กรควรมีระบบรองรับจิตใจของพนักงาน เช่น การให้คำปรึกษาจากนักจิตวิทยา การมีพื้นที่พักผ่อนที่ให้ความเป็นส่วนตัว หรือแม้แต่การให้เวลาพนักงานค่อยๆ ปรับตัว โดยไม่บังคับให้กลับออฟฟิศทันทีเต็มเวลา
การเยียวยาจิตใจหลังโควิดควรเป็นกระบวนการที่เคลื่อนไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การสั่งให้ “กลับสู่ภาวะปกติ” ภายในวันเดียว เพราะความปกติเดิมนั้นไม่มีอยู่แล้วในโลกยุคนี้ ความมั่นคงทางอารมณ์จึงควรได้รับการหล่อเลี้ยงผ่านกิจวัตรใหม่ๆ เช่น การเขียนบันทึกความรู้สึก การทำสมาธิสั้นในระหว่างวัน หรือการสร้างวงสนทนาเล็กๆ กับเพื่อนร่วมงานเพื่อเปิดพื้นที่ให้ความเข้าใจและความกลัวได้ไหลเวียนอย่างอิสระ
ในเชิงโครงสร้าง องค์กรต้องตระหนักว่าสุขภาวะที่ดีของพนักงานไม่ใช่เพียง “ไม่มีโรค” แต่หมายถึงความสมดุลระหว่างร่างกาย จิตใจ และสภาพแวดล้อมการทำงาน การมีระบบสนับสนุนให้พนักงานลาพักอย่างแท้จริง ไม่ใช้ชีวิตแบบ “ทำงานจากบ้านแต่ทำตลอดเวลา” การมีนโยบายยืดหยุ่น เช่น การจัดวันหยุดเพื่อฟื้นฟูสุขภาพจิต หรือการให้เวลาทำกิจกรรมส่วนตัว ล้วนเป็นการลงทุนระยะยาวที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความสุขในการทำงาน
ขณะเดียวกัน เราในฐานะปัจเจกก็มีหน้าที่ดูแลตนเองเช่นกัน การเตรียมใจกลับเข้าสู่โลกการทำงานควรเริ่มต้นจากการถามตัวเองว่า “พร้อมแค่ไหน” แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับการมีส่วนร่วมกับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการนัดพบเพื่อนร่วมงาน การเข้าร่วมประชุมแบบเจอหน้ากัน หรือการรับมือกับเสียงจอแจของรถไฟฟ้าในเวลาเร่งด่วน ทักษะด้านความยืดหยุ่นทางอารมณ์ หรือ Emotional Resilience จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้คนยุคหลังโควิดอย่างแท้จริง
มุมมองสุขภาวะองค์รวม: ไม่ใช่แค่ “สุขภาพดี” แต่ต้อง “สมดุล”
ในปี 2021 แนวคิดเรื่อง “Well-being” หรือ “สุขภาวะองค์รวม” กลายเป็นคำสำคัญในวงการแรงงานทั่วโลก หลายองค์กรเริ่มตระหนักว่าความสุข ความพึงพอใจ และสุขภาพที่ดี ไม่ได้เกิดจากการตรวจร่างกายประจำปีเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งแวดล้อมการทำงาน ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ความเข้าใจในภาระงาน และความสามารถในการปรับตัว
แนวทางสำคัญคือการสร้าง “Culture of Care” ในองค์กร ซึ่งหมายถึงวัฒนธรรมที่ใส่ใจพนักงานในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลางานที่ยืดหยุ่น การอนุญาตให้ทำงานจากที่บ้านเป็นบางวัน หรือการจัดอบรมเสริมความรู้ด้านจิตวิทยาและสุขภาพแบบองค์รวม
สู่ชีวิตการทำงานที่ยั่งยืน: จากวิกฤตสู่โอกาส
แม้โควิดจะสร้างบาดแผลให้แก่ระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างหนักหน่วง แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เรากลับมาทบทวนวิถีชีวิตและการทำงาน หลายคนค้นพบว่าชีวิตไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเสมอไป การทำงานไม่จำเป็นต้องผูกติดกับพื้นที่หนึ่งๆ หรือเวลาราชการ 9-5 อีกต่อไป
ปี 2021 ไม่ใช่แค่ปีแห่งการฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาดเท่านั้น แต่คือปีแห่งการตั้งต้นใหม่ของชีวิตที่มีสติ มีเป้าหมาย และมีการวางแผนอย่างถี่ถ้วน เราได้เรียนรู้ว่าโลกสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตา และการเตรียมตัวอย่างรอบคอบเป็นเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุดในโลกที่ไม่แน่นอน เมื่อสุขภาพทางกายและใจได้รับการดูแลควบคู่กัน ความปลอดภัยในการทำงานก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม และการใช้ชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงก็กลายเป็นโอกาสในการสร้างชีวิตใหม่ที่ยั่งยืนและสมดุลยิ่งกว่าเดิม
Comments