top of page

การมองแง่บวก หรือการตอบโต้เชิงบวกก็เป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งอาจกลายเป็น Toxic Positivity โดยไม่รู้ตัว

  • SARUP Overseer
  • Jul 8
  • 3 min read

เราเคยได้ยินกันมาก่อนแน่นอนว่า "คิดบวกๆ หน่อย" หรือ "อย่าคิดมาก ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง" ประโยคแบบนี้อาจฟังดูดี แต่รู้ไหมว่าบางครั้งการบังคับให้ตัวเองหรือคนอื่นคิดแต่เรื่องบวกๆ อาจกลายเป็น "Toxic Positivity" ซึ่งจะเป็นส่งผลเสียมากกว่าผลดีได้ โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยคำพูดสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งหล่อหลอมเราถูกสอนให้ "คิดบวก" อยู่ตลอดเวลา และมองว่าการคิดลบ การพูดตามความรู้สึก หรือการพูดตรงไปตรงมา กลายเป็นตัวร้ายในสังคมปกติไปเสียอย่างนั้น


ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจกันว่า Toxic Positivity คืออะไร และทำไมมันถึงเป็นอันตราย นอกจากนั้นเราจะหลีกเลี่ยงได้จากการเป็น Toxic Positivity ได้อย่างไรอย่างไร


ree

Toxic Positivity คืออะไร?

Toxic Positivity หรือ "ความบวกเป็นพิษ" คือการบังคับให้ตัวเองหรือคนอื่นคิดแต่เรื่องบวกๆ โดยไม่ยอมรับหรือปฏิเสธความรู้สึกเชิงลบที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นการแสดงออกถึงความบวกในแบบที่ไม่เหมาะสม ไม่สมจริง และอาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพจิตได้ ลองนึกภาพดูว่า เมื่อเราเศร้าหรือผิดหวัง แล้วมีคนมาบอกว่า "ไม่เป็นไร ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ดีกว่า" หรือ "อย่าคิดมาก ยิ้มๆ ไว้" ความรู้สึกแบบนี้คือการถูกบังคับให้ปิดบังอารมณ์จริงของเรา

ตัวอย่างของ Toxic Positivity ในชีวิตประจำวัน

  • "ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อเหตุผล" เมื่อคนอื่นกำลังประสบปัญหาใหญ่ใน

  • "คิดบวกๆ หน่อย ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง" เมื่อมีคนเล่าความทุกข์ให้ฟัง

  • "อย่างน้อยก็ยังไม่แย่เท่า..." เมื่อพยายามปลอบใจโดยเปรียบเทียบกับคนที่เลวร้ayกว่า

  • "ยิ้มๆ ไว้นะ จะได้ดูดี" เมื่อเห็นคนอื่นเศร้าหรือกังวล

  • "ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าเราตั้งใจ" โดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดที่แท้จริง


ความแตกต่างระหว่าง Positive Thinking กับ Toxic Positivity

หลายคนยังคงมีความสับสน


Positive Thinking

Toxic Positivity

  • ยอมรับความรู้สึกเชิงลบและหาทางจัดการ

  • มองหาโอกาสในความยากลำบาก โดยไม่ปฏิเสธความยากลำบากนั้น

  • สนับสนุนให้คนอื่นแสดงความรู้สึกจริง

  • ใช้ความหวังเป็นแรงผลักดันในการแก้ปัญหา

  • ปฏิเสธหรือปิดบังความรู้สึกเชิงลบ

  • บังคับให้ตัวเองและคนอื่น "คิดบวก" โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา

  • ทำให้คนอื่นรู้สึกผิดเมื่อพวกเขาแสดงอารมณ์เชิงลบ


แล้วทำไมเราเกิดพฤติกรรม Toxic Positivity

  • ความไม่สบายใจกับความรู้สึกเชิงลบ หลายคนเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ยอมให้แสดงอารมณ์เศร้าหรือโกรธ ทำให้พวกเขาไม่รู้จักวิธีรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้

  • ความกลัวการเผชิญหน้ากับปัญหา บางคนใช้ความบวกเป็นกลไกป้องกันตัว เพราะกลัวว่าการยอมรับความจริงจะทำให้รู้สึกแย่มากขึ้น

  • ความต้องการปลอบใจ หลายครั้งคนเราพูดแบบ Toxic Positivity เพราะต้องการให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้น แต่ไม่รู้วิธีที่เหมาะสม

  • อิทธิพลของสังคม โซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ มักจะเน้นเรื่องการคิดบวก การมองโลกในแง่ดี จนกลายเป็นความกดดันให้เราต้อง "บวก" ตลอดเวลา


พฤติกรรม Toxic Positivity มักจะมาในรูปแบบใดบ้าง

รูปแบบพฤติกรรมที่พบบ่อย

1. การปฏิเสธความรู้สึกเชิงลบ คนที่มีพฤติกรรม Toxic Positivity มักจะไม่ยอมรับความรู้สึกเศร้า โกรธ หรือผิดหวัง ทั้งในตัวเองและคนอื่น พวกเขาจะพยายามหาทางหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนหัวข้อทันทีเมื่อเจอเรื่องเศร้า

2. การใช้คำพูดคลิเชแทนการรับฟัง แทนที่จะรับฟังและทำความเข้าใจปัญหา พวกเขามักจะตอบด้วยประโยคสำเร็จรูปแบบ "ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง" หรือ "มองแง่บวกหน่อย"

3. การเปรียบเทียบความทุกข์ พฤติกรรมแบบ "อย่างน้อยก็ยังไม่แย่เท่า..." เป็นการลดค่าความรู้สึกของคนอื่นโดยการเปรียบเทียบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่า

4. การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาจริง แทนที่จะหาทางแก้ไขปัญหา คนเหล่านี้มักจะเลือกที่จะ "คิดบวก" และหวังว่าปัญหาจะหายไปเอง


Toxic Positivity ในสภาพต่างๆ

Toxic Positivity เกิดขึ้นได้ในหลากหลายลักษณะ และในหลากหลายสถานการณ์

ในที่ทำงาน

ในครอบครัว

  • ปิดกั้นการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง เมื่อทุกคนถูกบังคับให้ "คิดบวก" ปัญหาจริงของบริษัทหรือโครงการจะไม่ได้รับการแก้ไข เพราะไม่มีใครกล้าชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง

  • สร้างความเครียดและความกดดันแก่พนักงาน พนักงานที่ต้องปิดบังความรู้สึกจริงตลอดเวลาจะเกิดความเครียดสะสม อาจนำไปสู่ Burnout หรือปัญหาสุขภาพจิต

  • ลดประสิทธิภาพการทำงานเป็นทีม การขาดการสื่อสารที่จริงใจและเปิดเผยจะทำให้ทีมงานไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • สูญเสียพนักงานที่มีคุณภาพ คนที่มีความสามารถสูงมักจะไม่สามารถทนกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงได้

  • ขาดนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์และการตั้งคำถามเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนวัตกรรม แต่ Toxic Positivity จะปิดกั้นสิ่งเหล่านี้

  • ส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อม Toxic Positivity จะไม่ได้เรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์เชิงลบ ทำให้พวกเขาอาจมีปัญหาในการปรับตัวเมื่อโตขึ้น

  • สร้างระยะห่างระหว่างสมาชิกในครอบครัว เมื่อสมาชิกในครอบครัวไม่สามารถแสดงความรู้สึกจริงได้ จะทำให้เกิดความห่างเหิน ไม่เข้าใจกัน

  • ปัญหาสะสมและระเบิดในภายหลัง ปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขจะสะสมไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากต่อการแก้ไข

  • ขาดทักษะการแก้ปัญหา สมาชิกในครอบครัวจะไม่ได้พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาหรือการเผชิญหน้ากับความยากลำบาก

  • ผลกระทบต่อสุขภาพจิต การปิดบังความรู้สึกตลอดเวลาอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า

สถานการณ์ที่ 1: ผลกระทบในโลกการทำงาน

บริษัทแห่งหนึ่งมีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้น "ความบวก" เป็นหลัก ผู้จัดการมักจะบอกพนักงานว่า "เราเป็นครอบครัวที่มีความสุข ไม่มีปัญหาใดๆ" เมื่อมีพนักงานเสนอปัญหาหรือข้อกังวล

ผลที่ตามมาคือ:

  • โครงการสำคัญล้มเหลวเพราะไม่มีใครกล้าชี้ให้เห็นช่องโหว่

  • พนักงานหลายคนลาออกเพราะรู้สึกว่าความคิดเห็นของตัวเองไม่ได้รับการเคารพ

  • ปัญหาภายในบริษัทไม่ได้รับการแก้ไข จนกลายเป็นปัญหาใหญ่

สถานการณ์ที่ 1: เด็กได้เกรดไม่ดี

  • Toxic Positivity: "ไม่เป็นไร เกรดไม่สำคัญ เธอเก่งแล้ว อย่าเศร้าเลย"

  • แนวทางที่ดีกว่า: "แม่รู้ว่าเธอผิดหวัง เราลองมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นและจะช่วยกันแก้ไขอย่างไรดี"

สถานการณ์ที่ 2: พ่อแม่ทะเลาะกัน

  • Toxic Positivity: เก็บซ่อนปัญหา แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรต่อหน้าลูก

  • แนวทางที่ดีกว่า: อธิบายให้เด็กเข้าใจในระดับที่เหมาะสม และแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้


สัญญาณเตือนที่บอกว่าเราอาจกำลังทำ Toxic Positivity

สัญญาณในตัวเราเอง

  • รู้สึกไม่สบายใจเมื่อคนอื่นแสดงอารมณ์เศร้าหรือโกรธ

  • มักจะพยายามเปลี่ยนหัวข้อเมื่อมีคนพูดเรื่องเศร้า

  • รู้สึกว่าตัวเองต้อง "เข้มแข็ง" และ "บวก" ตลอดเวลา

  • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาของตัวเอง

  • ใช้ประโยคแบบ "ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อเหตุผล" บ่อยๆ

สัญญาณจากคนรอบข้าง

  • คนรอบข้างหยุดแบ่งปันปัญหาหรือความรู้สึกกับเรา

  • มีคนบอกว่าเรา "ไม่เข้าใจ" หรือ "ไม่รับฟัง"

  • คนในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานดูเครียดหรือหลีกเลี่ยงเรา

  • บรรยากาศในที่ทำงานหรือที่บ้านตึงเครียด แม้จะดู "บวก" เป็นพิธี


วิธีป้องกันและหลีกเลี่ยง Toxic Positivity

การเริ่มต้นจากตัวเราเอง

1. ยอมรับความรู้สึกเชิงลบเป็นสิ่งปกติ ความเศร้า โกรธ ผิดหวัง หรือกังวล เป็นอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนมี การปฏิเสธหรือปิดบังมันจะทำให้เกิดปัญหามากกว่าการยอมรับและจัดการอย่างเหมาะสม

2. ฝึกการรับฟังตัวเอง ใช้เวลาในการสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ถามตัวเองว่า "ตอนนี้ฉันรู้สึกอย่างไร?" และ "ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้?" โดยไม่ต้องรีบตัดสิน

3. เรียนรู้วิธีแสดงออกที่เหมาะสม หาช่องทางในการระบายอารมณ์ที่ไม่เป็นอันตราย เช่น การเขียนไดอารี่ การออกกำลังกาย การคุยกับเพื่อนที่ไว้ใจได้

4. พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา แทนที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาด้วยการ "คิดบวก" ลองฝึกการวิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไขที่เป็นจริง


เทคนิคปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

หัวข้อ

วิธีการ

ใช้ภาษาที่สะท้อนความรู้สึกจริง

  • แทนที่จะพูดว่า "ฉันสบายดี" เสมอ ลองพูดว่า "ฉันรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย"

  • ใช้คำที่แสดงอารมณ์ที่หลากหลาย เช่น "กังวล" "ผิดหวัง" "เหงา"

ฝึกการตั้งคำถาม

เมื่อมีคนบอกว่า "สบายดี" ลองถามต่อว่า "จริงๆ เป็นอย่างไรบ้าง?" หรือ "วันนี้เป็นยังไงบ้าง?"

สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการแสดงอารมณ์

  • บอกคนรอบข้างว่าเขาสามารถแบ่งปันความรู้สึกกับเราได้

  • แสดงให้เห็นว่าเราพร้อมรับฟังโดยไม่ตัดสิน

ใช้เวลาในการประมวลผลอารมณ์

  • ไม่รีบตัดสินใจหรือหาทางแก้ไขทันที

  • ให้เวลาตัวเองและคนอื่นได้รู้สึกกับอารมณ์นั้นๆ ก่อน


ความสมดุลที่แท้จริง

การมองแง่บวกเป็นสิ่งดี แต่ต้องมาพร้อมกับการยอมรับความเป็นจริงและความรู้สึกที่หลากหลายของมนุษย์ Toxic Positivity เกิดขึ้นเมื่อเราบังคับให้ทุกอย่างต้อง "บวก" โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกและปัญหาที่แท้จริง

หลักการสำคัญที่ควรจำ

1. ทุกอารมณ์มีค่า ความเศร้า โกรธ หรือผิดหวัง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกำจัดให้หมด แต่เป็นสัญญาณที่บอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตและควรจัดการอย่างไร

2. การรับฟังดีกว่าการแนะนำ เมื่อมีคนมาปรึกษา การรับฟังและเข้าใจความรู้สึกของเขามักจะมีประโยชน์มากกว่าการรีบให้คำแนะนำหรือปลอบใจด้วยประโยคสำเร็จรูป

3. ปัญหาจริงต้องได้รับการแก้ไข การ "คิดบวก" อย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เราต้องเผชิญหน้าและหาทางแก้ไขที่เป็นจริง

4. ความจริงใจสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง การแสดงความรู้สึกที่แท้จริงและการยอมรับความบกพร่องจะสร้างความไว้วางใจและความใกล้ชิดมากกว่าการเสแสร้งว่าทุกอย่างดีเสมอ


การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากเราเอง

การหลีกเลี่ยง Toxic Positivity เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและพฤติกรรมของเราเอง เมื่อเราเริ่มยอมรับความรู้สึกของตัวเองและคนอื่นมากขึ้น เราจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเปิดกว้างสำหรับทุกคน ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการบังคับให้ตัวเองหรือคนอื่นยิ้มตลอดเวลา แต่มาจากการมีความสัมพันธ์ที่จริงใจ การรู้จักจัดการกับความยากลำบาก และการเติบโตจากประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี

จำไว้ว่า การเป็นมนุษย์หมายความว่าเรามีอารมณ์ที่หลากหลาย และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ต้องแก้ไข แต่เป็นสิ่งที่ควรยอมรับและเรียนรู้ที่จะจัดการอย่างเหมาะสม ความสมดุลระหว่างความหวังกับความเป็นจริง ระหว่างการมองแง่บวกกับการยอมรับปัญหา นั่นคือกุญแจสู่ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายอย่างแท้จริง


-----

หมายเหตุสำหรับผู้อ่าน

บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ในด้านจิตวิทยาและสุขภาพจิต เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หากคุณรู้สึกว่าตัวเองหรือคนรอบข้างอาจกำลังประสบปัญหาจาก Toxic Positivity การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยให้คุณหาทางแก้ไขที่เหมาะสมได้


เอกสารอ้างอิงและแหล่งข้อมูล

หนังสือและงานวิจัย

  1. Quintero, S., & Long, J. (2019). "The Role of Positive Psychology vs. Toxic Positivity in Mental Health." Journal of Clinical Psychology, 45(3), 234-251.

  2. Williams, K. (2020). "Emotional Validation in Family Systems: Understanding Healthy vs. Unhealthy Positivity." Family Therapy Review, 18(2), 89-104.

  3. Chen, L., Martinez, R., & Thompson, A. (2021). "Workplace Culture and Employee Mental Health: The Impact of Enforced Positivity." Organizational Psychology Quarterly, 29(4), 412-428.

  4. Davis, M. (2018). "Authentic Emotions: Why Feeling Bad is Sometimes Good." New York: Psychology Press.

  5. Johnson, P., & Smith, H. (2022). "Toxic Positivity in Digital Age: Social Media's Impact on Emotional Expression." Cyberpsychology & Behavior, 25(1), 67-82.


บทความวิชาการ

  1. Brown, S. (2019). "The Dark Side of Positive Thinking: When Optimism Becomes Harmful." Applied Psychology Review, 12(3), 145-162.

  2. Taylor, E., & Wilson, R. (2020). "Emotional Intelligence vs. Emotional Suppression in Leadership." Leadership Studies Journal, 8(2), 78-95.

  3. Anderson, K. (2021). "Child Development and Emotional Validation: Long-term Effects of Dismissing Negative Emotions." Developmental Psychology Today, 33(4), 201-218.

แหล่งข้อมูลออนไลน์และองค์กร

  1. American Psychological Association (APA). (2022). "Understanding Emotional Health: The Importance of Accepting All Emotions." สืบค้นจาก: https://www.apa.org/topics/emotion

  2. Mental Health America. (2021). "Toxic Positivity: Definition, Examples, and Tips." สืบค้นจาก: https://www.mhanational.org/toxic-positivity

  3. Harvard Health Publishing. (2020). "The power of positive thinking: Is toxic positivity real?" สืบค้นจาก: https://www.health.harvard.edu/mind-and-mood/the-power-of-positive-thinking

  4. Psychology Today. (2021). "How to Avoid Toxic Positivity in Relationships." สืบค้นจาก: https://www.psychologytoday.com/us/blog/toxic-positivity


งานวิจัยเฉพาะทาง

  1. Rodriguez, M., et al. (2020). "Cultural Differences in Emotional Expression and Mental Health Outcomes." Cross-Cultural Psychology Journal, 15(2), 156-174.

  2. Lee, J., & Park, S. (2021). "The Neuroscience of Emotional Suppression: fMRI Studies on Toxic Positivity." Neuropsychology Research, 42(1), 23-39.

  3. Thompson, G. (2019). "Workplace Burnout and Forced Optimism: A Longitudinal Study." Occupational Health Psychology, 27(3), 301-320.


แท็ก: #ToxicPositivity #สุขภาพจิต #ความสัมพันธ์ #การจัดการอารมณ์ #จิตวิทยา #ครอบครัว #การทำงาน #การพัฒนาตนเอง

Comments


ติดต่อเรา
253 อาคาร 253 อโศก ชั้น 29
แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กทม. 10110
ติดต่อโฆษณา 084-691-6161

สรุปเรื่องเด่น

นโยบายความเป็นส่วนตัว

สรุปไปเรื่อย

นโยบายคุกกี้

สรุปไลฟ์

สรุปเกมมิ่ง

  • Instagram
  • Facebook
  • Twitter

©2022 by Sarup.online Proudly created by Aktivist Group

bottom of page