การเปิดคลิปเสียงผู้นำประเทศ ผิดธรรมเนียมการทูต? วิเคราะห์กรณี "ฮุน เซน - แพทองธาร" กับหลักการทางการทูตสากล
- SARUP Reporter
- Jun 20
- 2 min read
Updated: Jun 29
ช่วงกลางปี 2568 โลกโซเชียลของทั้งไทยและกัมพูชาต่างสั่นสะเทือนจากกรณีที่ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและบุคคลผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองของกัมพูชา เผยแพร่คลิปเสียงการสนทนากับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าแปลกตาในแวดวงการทูตสากล กรณีดังกล่าวจุดประกายคำถามว่า “การเปิดเผยคลิปเสียงที่มีเนื้อหาทางการทูต ถือว่าผิดมารยาททางการทูตหรือไม่?” และ “มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือไม่?” บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจว่าอะไรคือ "ธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตที่ถูกต้อง" และการกระทำของฮุน เซนมีความหมายและผลกระทบอย่างไรในบริบทของกฎหมายและธรรมเนียมทางการทูตระหว่างประเทศ

ธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูตบนพื้นฐานของความไว้วางใจระหว่างรัฐ
การทูต หรือ Diplomacy ถือเป็นศิลปะและวิทยาศาสตร์แห่งการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ตั้งแต่อารยธรรมโบราณจนถึงยุคสมัยใหม่ หลักการสำคัญของการทูตที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลประกอบด้วย 4 เสาหลัก คือ
ความสุภาพ (Courtesy) คือการแสดงความเคารพและมารยาทที่ดีต่อกันระหว่างตัวแทนของแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษาที่สุภาพ การแต่งกายที่เหมาะสม หรือการปฏิบัติตนตามพิธีการที่เหมาะสม
ความไว้วางใจ (Trust) เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเจรจาทางการทูต หากไม่มีความไว้วางใจระหว่างกัน การเจรจาใดๆ ย่อมไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้
ความลับ (Confidentiality) หมายถึงการรักษาข้อมูลและเนื้อหาการเจรจาให้เป็นความลับ เพื่อให้การเจรจาดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือความเข้าใจผิด
ความเคารพซึ่งกันและกัน (Mutual Respect) คือการยอมรับในความแตกต่างทางวัฒนธรรม การเมือง และมุมมองของแต่ละประเทศ โดยไม่พยายามครอบงำหรือบีบบังคับอีกฝ่าย
การทูตสมัยใหม่ได้รับการกำหนดกรอบและหลักเกณฑ์อย่างชัดเจนผ่าน อนุสัญญากรุงเวียนนา ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 (Vienna Convention on Diplomatic Relations, 1961) ซึ่งถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในด้านการทูต อนุสัญญาฉบับนี้มีประเทศสมาชิกกว่า 190 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทยและกัมพูชา โดยมีหลักการสำคัญหลายประการ แต่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีนี้คือ มาตรา 41 ที่ระบุว่า
"บุคคลที่ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต มีหน้าที่เคารพกฎหมายและกฎระเบียบของรัฐที่ได้รับ และต้องไม่แทรกแซงกิจการภายในของรัฐนั้น นอกจากนี้ยังต้องดำเนินธุรกิจทางการทูตด้วยความเหมาะสมและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ"
แม้ว่าฮุน เซน จะไม่ได้เป็นนักการทูตในความหมายที่เคร่งครัด แต่ในฐานะที่เป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของกัมพูชา การกระทำของเขาจึงต้องพิจารณาในกรอบของมาตรฐานการทูตระหว่างประเทศ
ในโลกของการทูต การสื่อสารระหว่างผู้นำประเทศถือเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูงสุด เหตุผลสำคัญมีหลายประการ ได้แก่
1. การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเจรจา
เมื่อผู้นำทราบว่าการสนทนาจะถูกเก็บเป็นความลับ พวกเขาจะสามารถพูดคุยได้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมามากขึ้น ซึ่งช่วยให้การเจรจาเกิดผลสำเร็จได้ง่ายกว่า หากผู้นำต้องกังวลว่าคำพูดของตนจะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ การเจรจาจะกลายเป็นเพียงการแสดงละครการเมืองมากกว่าการแก้ปัญหาที่แท้จริง
2. การป้องกันการตีความผิด
เนื้อหาการสนทนาที่ไม่ผ่านการเตรียมพร้อมหรือการตรวจสอบอาจถูกตีความผิดได้ง่าย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประเทศหรือภายในประเทศ การเก็บเป็นความลับช่วยให้มีเวลาในการชี้แจงและปรับแต่งข้อความให้ถูกต้องก่อนที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะ
3. การรักษาศักดิ์ศรีของผู้นำ
ผู้นำแต่ละคนมีภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือที่ต้องรักษา การเผยแพร่การสนทนาโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้ผู้นำฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเสียภาพลักษณ์หรือเสียศักดิ์ศรี
หนึ่งในหลักสำคัญคือเรื่อง “ความลับในการเจรจา” โดยข้อ 41 ของอนุสัญญาดังกล่าวระบุว่า นักการทูตและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเจ้าภาพ และต้องรักษาการติดต่อหรือการสนทนาให้เป็นความลับในลักษณะที่ไม่เป็นการรบกวนหรือสร้างความไม่สบายใจให้กับอีกฝ่าย การเปิดเผยหรือบันทึกการสนทนาโดยไม่ได้รับความยินยอม อาจถูกมองว่าเป็นการละเมิดหลักการความไว้วางใจ และกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูตในภาพรวม

แล้วการเปิดคลิปเสียงของฮุน เซน กับนายกรัฐมนตรีของไทย แพทองธาร ผิดหรือไม่ตามหลักการทูต?
คลิปเสียงการสนทนาระหว่างฮุน เซน กับแพทองธาร ที่ถูกเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายการโทรศัพท์ส่วนตัว แต่เนื้อหาภายในกลับเป็นการพูดคุยในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ซึ่งอาจเข้าข่าย “การติดต่อระดับทางการ” ที่ควรจะอยู่ในขอบเขตของความลับทางการทูต
การกระทำนี้จึงอาจตีความได้ใน 2 มุมมอง เมื่อมองในกรอบของการ
ในมุมทางการเมืองภายในของกัมพูชา ฮุน เซนอาจต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความสัมพันธ์อันดีกับผู้นำไทย และยืนยันบทบาทของตนในฐานะ “ผู้กำหนดทิศทางการต่างประเทศ” ของประเทศ แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว
ในมุมทางการทูตระหว่างประเทศการเผยแพร่คลิปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สนทนา (ซึ่งในที่นี้คือนายกรัฐมนตรีของไทย) อาจถือว่า "ไม่เหมาะสม" และขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูต เพราะสร้างความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และบั่นทอนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ความเหมาะสมในทางกฎหมายและจริยธรรมทางการทูต
หากพิจารณาจากหลักการทางการทูตสากล และแนวปฏิบัติของประเทศส่วนใหญ่ การเปิดเผยเนื้อหาการพูดคุยของผู้นำระหว่างประเทศ ควรผ่านการยินยอมและมีวัตถุประสงค์ที่สร้างสรรค์ เช่น การประชาสัมพันธ์ความร่วมมือ หรือการลงนามในข้อตกลง การบันทึกและเปิดเผยโดยพลการจึงเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง และอาจก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจในการเจรจาครั้งต่อไป ไม่เพียงเฉพาะกับไทย แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่อาจมองว่าการสนทนากับกัมพูชาไม่ปลอดภัย
แต่หากมองในมุมมองทางกฎหมายระหว่างประเทศการกระทำของฮุน เซน ไม่ผิดกฎหมายโดยตรง เนื่องจาก
เขาไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นนักการทูตที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
ไม่มีข้อตกลงหรือสัญญาใดๆ ระหว่างไทยและกัมพูชาที่ห้ามการเผยแพร่การสนทนาดังกล่าวโดยเฉพาะ
การสนทนาไม่ได้เกิดขึ้นในกรอบการเจรจาทางการทูตอย่างเป็นทางการ
แล้วฮุนเซน จะทำไปเพื่ออะไร?
1. การสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองภายใน แม้ว่าฮุน เซน จะส่งผ่านตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับบุตรชาย แต่เขายังคงมีอิทธิพลทางการเมืองสูง การแสดงให้เห็นว่าเขายังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ อาจเป็นการยืนยันอำนาจและสถานะของเขาในสายตาประชาชนกัมพูชา
2. การส่งสัญญาณทางการเมืองระหว่างประเทศ การเผยแพร่อาจเป็นการส่งสัญญาณให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคว่ากัมพูชามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับไทย และฮุน เซน ยังคงเป็นบุคคลสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการทำความสัมพันธ์กับกัมพูชา
3. การตอบโต้ประเด็นการเมืองภายใน อาจเป็นการตอบโต้กลุ่มการเมืองหรือสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลกัมพูชา โดยแสดงให้เห็นว่ามีการสนับสนุนจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน
บทเรียนสำหรับการทูตยุคดิจิทัล
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของ "การทูตในยุคดิจิทัล" ที่ข้อมูลสามารถถูกเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็ว และการกระทำของผู้นำคนหนึ่งอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์และความสัมพันธ์ของประเทศทั้งประเทศได้ทันที จึงเป็นบทเรียนสำคัญของผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศว่า ควรระมัดระวังเรื่องการสื่อสาร ทั้งช่องทางและเนื้อหา โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับการเจรจาหรือพูดคุยระหว่างประเทศ
แล้วไทยเราพลาดอะไร
แม้ว่าการเปิดเผยการสนทนาอาจถูกมองว่าเป็น “ความโปร่งใสทางการเมือง” แต่ในบริบททางการทูต กลับถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เพราะการเจรจาที่ประสบความสำเร็จมักเกิดขึ้นในบรรยากาศที่มี "ความไว้วางใจ" และ "ความลับ" เป็นรากฐาน กรณีของฮุน เซน อาจไม่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศโดยตรง แต่ก็ขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติที่ยอมรับกันโดยทั่วไป และอาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของกัมพูชาในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านความน่าเชื่อถือในระดับผู้นำ
เรื่องของการสื่อสารและการตอบโต้ ทางภาครัฐมองโดยใช้กระจกเชิงประชาสัมพันธ์ และแบรนด์เป็นหลัก แต่ลืมเรื่องความเร็ว และการสร้างความเชื่อมั่นต่อนานาชาติ รวมไปถึงคนในประเทศ ทำให้การตอบโต้หลายครั้งช้า และไม่มีทิศทาง
Hidden Agenda การที่รัฐบาลสื่อสารมันมีนัยสำคัญเรื่องของการตกลงที่นอกเหนือ หรือผลประโยชน์อื่น ๆ หรือไม่
การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนแม้กับคนในชาติเองก็ไม่สื่อสาร
เอกสารอ้างอิง (References)
BBC Thai. (2025, June). ฮุนเซน เปิดคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีไทย จุดประเด็นการทูตระหว่างประเทศ. สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai
Berridge, G. R. (2015). Diplomacy: Theory and practice (5th ed.). Palgrave Macmillan.
Bull, H. (1977). The anarchical society: A study of order in world politics. Columbia University Press.
Keohane, R. O., & Nye, J. S. (2011). Power and interdependence (4th ed.). Longman.
Kissinger, H. A. (1994). Diplomacy. Simon & Schuster.
Manor, I., & Segev, E. (2015). America's selfie: How the US portrays itself on its social media accounts. In C. Bjola & M. Holmes (Eds.), Digital diplomacy: Theory and practice (pp. 89-108). Routledge.
Melissen, J. (Ed.). (2005). The new public diplomacy: Soft power in international relations. Palgrave Macmillan.
Nicolson, H. (1963). Diplomacy (3rd ed.). Oxford University Press.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2561). หลักกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีเมือง. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.
United Nations. (1961). Vienna Convention on Diplomatic Relations. สืบค้นจาก https://legal.un.org/ilc/texts/instruments/english/conventions/9_1_1961.pdf
Watson, A. (1982). Diplomacy: The dialogue between states. Methuen.
Westcott, N. (2008). Digital diplomacy: The impact of the Internet on international relations. Oxford Internet Institute Research Report, 16, 1-20.


Comments